ข้อมูลท่องเที่ยวดูไบ

         ดูไบ ( dubai ) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศมีพื้นที่ประมาณ 3,225 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 1,674,527 คน ดูไบถือเป็นเมืองแห่งความมหัศจรรย์ เพราะที่ถูกผันแปรจากดินแดนทะเลทรายมาสู่ความมั่งคั่งในการค้า บริการ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และศูนย์กลางธุรกิจ ไม่จำกัดเฉพาะการค้าน้ำมันแบบก่อนๆ

         ขณะที่ตึกสูงระฟ้าผุดขึ้นทั่วเมือง รวมถึงตึกสูงสุดในโลกกว่า 180 ชั้นที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ว่ากันว่าเครนที่ใช้งานก่อสร้างในโลกขณะนี้ กว่า 40% อยู่ในดูไบ (โอ้โห) และรายได้หลักของชาวดูไบมาจากหลายทาง ไม่เฉพาะการขายน้ำมันถือที่ถือว่าเป็นรายได้หลักของประเทศ เพราะมีการผลิตน้ำมันสู่ตลาดโลกวันละ 2-2.5 ล้านบาร์เรล หากคิดรายได้เป็นเงินไทยตกวันละร่วมหมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่มีไม่มาก และส่วนใหญ่ประชากรเป็นชาวต่างชาติที่เข้าไปอาศัย กว่า 75% ที่นี่จึงนับเป็นเมืองน่าสนใจที่สุด ด้วยอัตราการเติบโตของจีดีพีสูงที่สุดในโลก  และไม่ต้องกลัวว่าไปเที่ยวดูไบเมืองทะเลทรายแล้วจะขาดน้ำ เพราะทุกวันนี้ดูไบซึ่งไม่มีแหล่งน้ำจืด ได้สร้างโรงกลั่นน้ำทะเลของตัวเอง จนสามารถกลั่นออกมาเป็นน้ำจืด มากกว่าความต้องการจริงถึงวันละ 3 เท่า

      ดูไบ เป็นเมืองที่เรียกได้ว่าล้ำสมัยไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆและสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ขณะเดียวกันก็ยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าสะอาดและปลอดภัยแต่ที่ดูไบเป็นหนึ่งในลิสต์ของนักท่องเที่ยวหลายคน (โดยเฉพาะนักช้อป)ก็เพราะว่าที่นี่มีการขายสินค้าปลอดภาษี นอกจากนี้ดูไบยังมีตลาดหรือที่เรียกว่า ซุก (Souk) โดยจะขายสินค้ามากมายหลายอย่างซุกที่ขึ้นชื่อก็ย่าน Deira Covered Souk ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่ของดูไบ

สถานที่น่าสนใจของดูไบ

         เพราะว่าก่อนหน้านี้พื้รที่ดูไบเป็นทะเลทรายมาก่อน  สถานที่ท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดในดูไบจึงเป็นสิ่งมนุษย์รังสรรค์ขึ้นมาบนผืนทะเลทราย

หมู่เกาะต้นปาล์ม

     หมู่เกาะต้นปาล์ม เป็นโครงการก่อสร้างเกาะจำลองบริเวณอ่าวเปอร์เซีย ในดูไบ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยแต่ละเกาะจะมีลักษณะรูปร่างเหมือนต้นปาล์ม และล้อมรอบด้วยเสี้ยววงกลม โดยพื้นที่จะมีการจัดเป็นที่อยู่อาศัย และรีสอร์ท การพัฒนานี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศ ในโครงการจะมีการสร้างทั้งหมด 3 เกาะได้แก่ ปาล์ม Jumeirah, ปาล์ม Deira และ ปาล์ม Jebel Ali



เบิร์จคาลิฟา ( Burj Khalifa - หอคอยคาลิฟา) 

     เดิมชื่อ เบิร์จดูไบ ( Burj Dubai - หอคอยดูไบ) เป็นตึกระฟ้าสูงยวดยิ่ง ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552 และเปิดให้ใช้ได้อย่างเป็นทางการ การตกแต่งภายในจะแบ่งออกเป็นโรงแรมอาร์มานี 37 ชั้นล่าง โดยชั้น 45 ถึง 108 จะเป็น อพาร์ตเมนต์ โดยที่เหลือจะเป็นออฟฟิศสำนักงาน และชั้นที่ 123 และ 124 จะเป็นจุดชมวิวของตึก ส่วนบนของตึกจะเป็นเสาอากาศสื่อสาร นอกจากนี้ชั้น 78 จะมีสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ และตึกนี้จะติดตั้งลิฟต์ที่เร็วที่สุดในโลก ที่ความเร็ว 18 ม/วินาที (65 กิโลเมตร/ชั่วโมง, 40 ไมล์/ชั่วโมง)



Shiekh Zayed Road

     เทียบได้กับย่านดาวน์ทาวน์ของเมืองแมนฮัตตัน เป็นเขตการค้าของเมือง ล้อมรอบไปด้วยตึกสูงระฟ้า เป็นสถานที่ตั้งของตึก World Trade Centre และ โรงแรม Emirates Tower




Wild Wadi

     คุณจะได้พบกับสวนน้ำติดอันดับหนึ่งของโลกที่มีขื่อว่า Wild Wadi ที่นี่คุณจะได้พบกับเครื่องเล่นที่เร้าใจและสนุกสนานเพลิดเพลิน แนะนำเครื่องเล่น Log River, Ring Ride, Flood River, Wave Pool, Flow Rides และอื่นอีกมาก




เบิร์จอัลอาหรับ

     เบิร์จอัลอาหรับ ( Burj al-Arab) เป็นโรงแรมหรูหราและเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูง 321 เมตร (1,053 ฟุต) โดยตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวเปอร์เซีย โดยเชื่อมต่อกับฝั่งผ่านทางสะพาน เบิร์จอัลอาหรับเป็นเจ้าของโดย จูเมราฮ์ การก่อสร้างเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2537 แล้วเสร็จและเริ่มเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2542 โดยตัวตึกออกแบบมีลักษณะคล้ายเรือใบ dhow ซึ่งเป็นยานพาหนะชนิดหนึ่งของชาวอาหรับ
     ส่วนห้องในโรงแรมเบิร์จอัลอาหรับมีลักษณะเป็นห้องสวีตคู่ 202 ห้อง โดยห้องที่เล็กสุดมีขนาด 169 ตารางเมตร (1,819 ตารางฟุต) และห้องใหญ่สุดมีขนาด 780 ตารางเมตร (8,396 ตารางฟุต) และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมที่แพงที่สุดในโลก โดยราคาค่าที่พักอยู่เริ่มต้นที่ $1,000 -$15,000 ต่อคืน และห้องที่แพงสุดจะอยู่ที่ราคา $28,000 ต่อคืน



The Creek

เส้นทางน้ำธรรมชาติ สายประวัติศาสตร์ในใจกลางเมือง ที่ยังคงเต็มไปด้วย ABRA เรือข้ามฟากซึ่งรับใช้ชาวดูไบมาช้านาน




นครอาบูดาบี

     เมืองหลวงของ UAE นครที่ได้รับสมญาว่าเป็น GARDEN OF GULF ความเขียวขจีของตัวเมือง ชมความงดงามของตัวเมือง ณ จุดชมวิว ชิคาโก บีช กับชายทะเลสีเทอร์คอยซ์



IBN BATUTA MALL

     ชมศูนย์การค้าแห่งใหม่ ซึ่งเป็นห้างที่รวม IBN BATUTA MALL ซึ่งสร้างตามสไตล์ 6 บรรยากาศได้ชื่อว่า “The World under the roof”




ศิลปกรรมแบบอาหรับโบราณ

     ชมอาคารศิลปกรรมแบบอาหรับโบราณ WIND TOWER , ตลาดชาร์จ้าห์ซุก (SHARJAH SOUK) ซึ่งมีทั้งฝั่ง ตลาดใหม่(NEW SOUK) และตลาดเก่า ( OLD SOUK) มีสินค้ามากมายให้ท่านได้เลือกสำรวจ อาทิเช่น รองเท้า , กระเป๋า , เครื่องหนัง , เครื่องใช้ไฟฟ้า , เสื้อผ้าสำเร็จรูปทั้งของเด็ก สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี รวมถึงชุด อาหรับประจำชาติ , สินค้าที่ระลึกชั้นนำ อาทิเช่น อูฐ , ทะเลทรายเจ็ดสีและของชำร่วยต่าง ๆ




สุเหร่า KING FAISAL

     ชมสุเหร่า ซึ่งเป็นสุเหร่าที่ทางกษัตริย์ FAISAL แห่งประเทศ ซาอุดิอาระเบีย มอบให้เป็นของขวัญแก่ท่าน เชค เพื่อแสดงให้เห็นถึงการนับถือศาสนาอิส ลามอย่างเคร่งครัดของพระองค์




สุเหร่าจูไมร่า

     คู่บ้านคู่เมืองของดูไบ ที่สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง และยังได้ชื่อว่า เป็นสุเหล่าที่สวยงามมาที่สุดในแถบนี้ ให้ท่านได้เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก




Dubai Museum

     เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทันสมัยที่สุดในตะวันออกกลาง สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 19 บูรณะครั้งล่าสุดปี1970เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่อง ราวสำคัญทางประวัติศาสตร์



ศูนย์การค้า The Emirate Mall

     เป็นศูนย์การค้าสร้างขึ้นใหม่ล่าสุดของดูไบ ซึ่งภายในมี SKI PARK โดยเนรมิตให้มีลานสกีหิมะขนาดใหญ่


GOLD SOUK

     ช้อปปิ้งที่ ตลาดทอง เป็นที่ 1 ในตลาดทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขายทุกอย่างที่เป็น JEWELRY เช่น มุก อัญมณี ต่าง ๆ ร้านเล็ก ๆ จะอยู่หลังร้านใหญ่ มีร้านทองมากมายกว่าร้อยร้านค้าให้ท่านได้เลือกซื้อหาลวดลายอันสวยงามแปลกตาหลากหลายดีไซน์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

[PANTIP] ทริปดูไบ 7-11 สิงหาคม 2556 :: กิน เที่ยว เปรี้ยว ช้อปปิ้ง!! DAY.2 "in Dubai"

[PANTIP] ทริปดูไบ 7-11 สิงหาคม 2556 :: กิน เที่ยว เปรี้ยว ช้อปปิ้ง!! DAY.1 "in Dubai"

[PANTIP] ทริปดูไบ 7-11 สิงหาคม 2556 :: กิน เที่ยว เปรี้ยว ช้อปปิ้ง!! DAY.4 "in Dubai"